Shopping Cart

Total:

$0.00

Items:

0

Your cart is empty

Keep Shopping

ถอดรหัสคำเตือนภาษีจากทรัมป์: คลื่นลมใหม่ในสมรภูมิการค้าโลก

23
0
0

ยาวไป อยากเลือกอ่าน?

0%
Back to Top
0


  • กำหนดเส้นตายชัดเจน: โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ประกาศว่าประเทศคู่ค้าที่ไม่มีข้อตกลงทางการค้ากับสหรัฐฯ ภายในวันที่ 1 สิงหาคม 2568 จะต้องเผชิญกับการขึ้นภาษีนำเข้าอย่างรุนแรง
  • ผลกระทบรุนแรงต่อเศรษฐกิจและห่วงโซ่อุปทาน: มาตรการภาษีใหม่นี้คาดว่าจะส่งผลให้ราคาสินค้าในสหรัฐฯ สูงขึ้น เกิดภาวะเงินเฟ้อ และอาจนำไปสู่สงครามการค้ารอบใหม่ที่กระทบการค้าและการลงทุนทั่วโลก
  • กระตุ้นการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี: นโยบายภาษีนี้กำลังเร่งให้เกิดการย้ายฐานการผลิตและการลงทุนในเทคโนโลยีภายในสหรัฐฯ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมชิปและ AI เพื่อลดการพึ่งพาห่วงโซ่อุปทานระหว่างประเทศ

เมื่อ “ภาษี” กลายเป็นอาวุธ: ทรัมป์ปัดฝุ่นกลยุทธ์การค้าใหม่

โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้กลับมาใช้มาตรการภาษีนำเข้าอย่างเข้มข้นอีกครั้ง โดยมีเป้าหมายหลักคือการลดการขาดดุลการค้าและกระตุ้นการผลิตภายในประเทศ ซึ่งสะท้อนผ่านการส่งจดหมายเตือนไปยังกว่า 14 ประเทศทั่วโลก รวมถึงพันธมิตรสำคัญอย่างญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ โดยมีกำหนดเส้นตายที่ชัดเจนในวันที่ 1 สิงหาคม 2568 หากไม่มีการบรรลุข้อตกลงทางการค้า มาตรการภาษีที่สูงขึ้นก็จะเริ่มมีผลบังคับใช้ทันที

ทรัมป์มองว่าภาษีเป็นเครื่องมือสำคัญในการปกป้องผลประโยชน์ของชาติและคนงานอเมริกัน โดยอ้างอิงถึงพระราชบัญญัติอำนาจทางเศรษฐกิจฉุกเฉินระหว่างประเทศ (IEEPA) ปี 1977 เพื่อรับมือกับ “ภาวะฉุกเฉินของชาติ” ที่เกิดจากการขาดดุลการค้าขนาดใหญ่และนโยบายที่ไม่เป็นธรรมของคู่ค้า เช่น การบิดเบือนค่าเงินหรือภาษีมูลค่าเพิ่มที่สูงเกินไป นโยบายนี้ไม่ใช่แค่การข่มขู่ แต่เป็นการบังคับให้ประเทศคู่ค้าต้องพิจารณานำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น และพิจารณาย้ายฐานการผลิตมายังดินแดนอเมริกัน

ภาพ: การวิเคราะห์มุมมองต่อมาตรการภาษีของทรัมป์ในมิติต่างๆ

ประเทศใดบ้างที่ตกเป็นเป้าหมาย?

ทรัมป์ได้ระบุประเทศเป้าหมายอย่างชัดเจน โดยส่งจดหมายเตือนไปยังประเทศที่มีการขาดดุลการค้าสูงกับสหรัฐฯ และ/หรือประเทศที่ถูกมองว่าใช้มาตรการการค้าที่ไม่เป็นธรรม การขู่เพิ่มภาษีมีตั้งแต่ 20% ถึง 50% ขึ้นอยู่กับแต่ละประเทศและประเภทสินค้า

  • **ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้:** พันธมิตรสำคัญที่อาจเผชิญภาษี 25% หากไม่เปิดตลาดเพิ่มในภาคยานยนต์ เกษตรกรรม และการค้าดิจิทัล
  • **กลุ่ม BRICS (บราซิล, รัสเซีย, อินเดีย, จีน, แอฟริกาใต้):** ทรัมป์ขู่เก็บภาษีเพิ่มเติม 10% สำหรับประเทศที่ “สอดคล้องกับนโยบายต่อต้านอเมริกา” ของกลุ่ม BRICS โดยบราซิลอาจเผชิญภาษี 50% สำหรับสินค้าบางประเภท เช่น ทองแดง
  • **ประเทศอื่นๆ ในเอเชีย:** รวมถึงมาเลเซีย (25%), คาซัคสถาน (25%), เมียนมา (40%), ลาว (40%), ฟิลิปปินส์ (20-30%) และเวียดนาม (20%)
  • **ประเทศในตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ:** แอลจีเรีย (20-30%) และอิรัก (20-30%) ก็ถูกเตือนเช่นกัน
  • **แคนาดาและเม็กซิโก:** เดิมเผชิญภาษี 25% สำหรับสินค้าที่ไม่อยู่ภายใต้ข้อตกลง USMCA และทรัมป์ยังขู่จะยกเลิกการเจรจาทางการค้ากับแคนาดา
  • **สหภาพยุโรป (EU):** แม้มีการเจรจา แต่ทรัมป์ก็พร้อมขู่ใช้ภาษีเพิ่มเติมหากไม่มีการบรรลุข้อตกลง

ผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก: จุดพลิกผันหรือเพียงระลอกคลื่น?

มาตรการภาษีของทรัมป์สร้างความกังวลอย่างยิ่งต่อเสถียรภาพเศรษฐกิจโลก เนื่องจากอาจนำไปสู่ภาวะเงินเฟ้อ การถดถอยทางการค้า และความไม่แน่นอนในการลงทุน

ความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อและราคาสินค้า

การเรียกเก็บภาษีนำเข้าจะทำให้ต้นทุนสินค้าในสหรัฐฯ สูงขึ้น ซึ่งผู้บริโภคจะต้องแบกรับภาระในที่สุด Federal Reserve คาดการณ์ว่าภาษีเหล่านี้อาจเพิ่มราคาสินค้าในสหรัฐฯ มากกว่า 10% ซึ่งจะยิ่งซ้ำเติมแรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่เผชิญอยู่

นักเศรษฐศาสตร์หลายคนมองว่านโยบายนี้อาจบ่อนทำลายกำลังซื้อของผู้บริโภคและลดกิจกรรมทางเศรษฐกิจโดยรวม แม้ทรัมป์จะยืนยันว่าภาษีจะกระตุ้นการผลิตและสร้างงานในสหรัฐฯ แต่การศึกษาของ Penn Wharton Budget Model คาดการณ์ว่าภาษีอาจลด GDP ลงประมาณ 8% และค่าจ้างลง 7% โดยครัวเรือนที่มีรายได้ปานกลางอาจเผชิญกับการสูญเสียตลอดชีวิตถึง 58,000 ดอลลาร์

สงครามการค้าและการปรับโครงสร้างห่วงโซ่อุปทาน

การตอบโต้ด้วยภาษีจากประเทศคู่ค้าอาจนำไปสู่ “สงครามการค้า” ที่ขยายวงกว้าง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก การค้าโลกที่ชะลอตัวจะส่งผลกระทบต่อการลงทุนและการผลิตข้ามประเทศ ทำให้บริษัทต่างๆ ต้องพิจารณาย้ายฐานการผลิตเพื่อหลีกเลี่ยงภาษี

ในมุมมองของนักลงทุน ตลาดหุ้นอาจเผชิญกับความผันผวนในระยะสั้น อย่างไรก็ตาม ตลาดบางแห่งเริ่ม “เพิกเฉย” ต่อคำขู่ของทรัมป์มากขึ้น เนื่องจากเคยเผชิญกับสถานการณ์คล้ายกันมาก่อน

วิดีโอ: โดนัลด์ ทรัมป์ ขู่เก็บภาษี 10% จากกลุ่มประเทศ BRICS โดยเรียกนโยบายของกลุ่มว่า ‘ต่อต้านอเมริกา’

วิดีโอนี้สะท้อนให้เห็นถึงท่าทีที่แข็งกร้าวของทรัมป์ต่อกลุ่ม BRICS ซึ่งเป็นกลุ่มเศรษฐกิจเกิดใหม่ที่กำลังมีอิทธิพลเพิ่มขึ้นในเวทีโลก การที่ทรัมป์มองว่าการรวมตัวกันของ BRICS เป็น “นโยบายต่อต้านอเมริกา” ชี้ให้เห็นถึงความพยายามของสหรัฐฯ ในการรักษาอำนาจทางเศรษฐกิจและการค้าของตน การขู่เก็บภาษีเพิ่มเติม 10% เป็นการส่งสัญญาณว่าสหรัฐฯ จะไม่ลังเลที่จะใช้มาตรการทางเศรษฐกิจเพื่อตอบโต้สิ่งที่ตนมองว่าเป็นการท้าทายระบบการค้าโลกที่สหรัฐฯ เป็นผู้นำ สิ่งนี้อาจนำไปสู่การเผชิญหน้าทางการค้าที่รุนแรงขึ้น และมีนัยยะสำคัญต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและทิศทางของเศรษฐกิจโลก


ผลกระทบต่อเทคโนโลยีและนวัตกรรม: โอกาสท่ามกลางวิกฤต

นโยบายภาษีของทรัมป์ไม่ได้ส่งผลกระทบแค่การค้าแบบดั้งเดิม แต่ยังเร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี โดยเฉพาะ AI และการค้าดิจิทัล

ความเสี่ยงในห่วงโซ่อุปทานเทคโนโลยี

การเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าอิเล็กทรอนิกส์และชิ้นส่วนจากเอเชีย โดยเฉพาะจากญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ อาจทำให้ราคาชิป สมาร์ทโฟน และอุปกรณ์คอมพิวเตอร์สูงขึ้น ซึ่งจะกระทบต่อบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ เช่น Apple และ Tesla ที่ต้องพึ่งพาห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก การปรับตัวของบริษัทเหล่านี้อาจรวมถึงการย้ายฐานการผลิตบางส่วนกลับไปยังสหรัฐฯ หรือการหาแหล่งผลิตทางเลือก

ภาพของโดนัลด์ ทรัมป์ ในการแถลงข่าว

ภาพ: การแถลงข่าวของโดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ

นอกจากนี้ ภาษีที่สูงขึ้นอาจชะลอการพัฒนา AI ในบางภาคส่วน เนื่องจากต้นทุนการนำเข้าฮาร์ดแวร์และส่วนประกอบสำคัญที่ใช้ในการฝึกโมเดล AI อาจเพิ่มขึ้น

โอกาสจากการลงทุนในประเทศและการใช้ AI

ในทางกลับกัน นโยบายนี้กระตุ้นให้เกิดการลงทุนและการผลิตเทคโนโลยีภายในสหรัฐฯ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และเทคโนโลยีขั้นสูง การลงทุนในโรงงานผลิตชิปในอเมริกาอาจสร้างงานใหม่ในภาค AI และเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง

AI ยังสามารถเข้ามามีบทบาทสำคัญในการช่วยให้บริษัทต่างๆ รับมือกับความท้าทายด้านภาษีและการเปลี่ยนแปลงห่วงโซ่อุปทาน ตัวอย่างเช่น การใช้ AI ในการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการห่วงโซ่อุปทาน (supply chain optimization) การพยากรณ์ความต้องการสินค้า หรือการวิเคราะห์ข้อมูลทางการค้าเพื่อหาช่องทางลดต้นทุนภาษี คาดว่าตลาด AI สำหรับโลจิสติกส์จะเติบโต 20% ในปี 2568

ภาพ: ผลกระทบเชิงบวกของนโยบายภาษีต่อภาคเทคโนโลยีและการผลิตในสหรัฐฯ (คะแนน 0-10)


โอกาสและความเสี่ยงสำหรับนักลงทุนและธุรกิจไทย

ประเทศไทยและธุรกิจไทยก็ย่อมได้รับผลกระทบจากนโยบายภาษีของทรัมป์ ไม่ว่าจะโดยตรงหรือโดยอ้อมผ่านห่วงโซ่อุปทานโลก

ภาพรวมผลกระทบและแนวทางรับมือ

ประเด็น ผลกระทบระยะสั้น-กลาง โอกาส / แนวทางรับมือ
ต้นทุนสินค้านำเข้าในสหรัฐฯ ราคาสินค้าอุปโภค-บริโภคในสหรัฐฯ มีแนวโน้มสูงขึ้น กระตุ้นเงินเฟ้อ ผู้ส่งออกไทยอาจได้อานิสงส์หากคู่แข่งเจอภาษีสูง แต่ต้องบริหารความเสี่ยงค่าเงิน
โซ่อุปทานอิเล็กทรอนิกส์ สมาร์ทโฟน-คอมพิวเตอร์อาจถูกดึงกลับไปผลิตในสหรัฐฯ โรงงาน EMS ในไทยต้องเร่งอัตโนมัติ/ใช้หุ่นยนต์ เพื่อลดต้นทุนต่อชิ้น
ตลาดหุ้นทั่วโลก ดัชนีตลาดเงินตลาดทุนผันผวนแรก แต่เริ่มเพิกเฉยต่อ “วาทะ” มากขึ้น นักลงทุนเก็งกำไรสวิงเทรดได้ แต่ควรกระจายพอร์ตไปยังตลาดเกิดใหม่และทองคำ
การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ภาษี “revenge tax” สร้างความไม่แน่นอนในการลงทุนข้ามประเทศ BOI ไทยเสนอแพ็กเกจ “China + 1” จูงใจการย้ายฐานเข้าสู่ EEC

กลยุทธ์สำหรับผู้ประกอบการและนักลงทุนไทย

ผู้ประกอบการไทยควรใช้โอกาสจาก FTA ไทย-สหรัฐฯ (GSP เฉพาะรายการ) และทบทวนรหัส HS Code ของสินค้าที่มีภาษีต่ำกว่า 10% เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขัน

สำหรับนักลงทุน การเน้นหุ้นในกลุ่ม “domestic demand play” ในสหรัฐฯ เช่น สาธารณูปโภคและเฮลธ์แคร์ อาจเป็นทางเลือกที่ดี พร้อมกับการสะสมทองคำ 5-10% ของพอร์ตเพื่อป้องกันความเสี่ยง

นอกจากนี้ Start-up และธุรกิจเทคควรจับตา “incentive ย้ายโรงงาน” ของสหรัฐฯ เพราะเป็นโอกาสในการขายโซลูชันระบบอัตโนมัติและ AI ให้กับผู้ผลิตในสหรัฐฯ


คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

ทรัมป์ประกาศใช้มาตรการภาษีใหม่เมื่อใด?
โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ส่งจดหมายเตือนถึงประเทศต่างๆ ในเดือนกรกฎาคม 2568 โดยกำหนดเส้นตายสำหรับการทำข้อตกลงทางการค้าใหม่คือวันที่ 1 สิงหาคม 2568 หากไม่มีข้อตกลง มาตรการภาษีใหม่จะเริ่มมีผลบังคับใช้ทันที
ประเทศใดบ้างที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีของทรัมป์?
ประเทศที่ได้รับผลกระทบหลัก ได้แก่ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ กลุ่ม BRICS (บราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน แอฟริกาใต้) และประเทศอื่นๆ ในเอเชีย เช่น มาเลเซีย คาซัคสถาน เมียนมา ลาว ฟิลิปปินส์ เวียดนาม รวมถึงบางประเทศในตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ เช่น แอลจีเรียและอิรัก
มาตรการภาษีของทรัมป์จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่างไร?
คาดการณ์ว่าภาษีจะทำให้ราคาสินค้านำเข้าสูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้เกิดภาวะเงินเฟ้อ และอาจลด GDP ของสหรัฐฯ ลงได้ นอกจากนี้ยังสร้างความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่อาจชะลอการลงทุนและการจ้างงาน
นโยบายภาษีนี้มีผลต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีอย่างไร?
ภาษีอาจเพิ่มต้นทุนของชิปและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์จากเอเชีย แต่ในทางกลับกันก็กระตุ้นให้เกิดการลงทุนและการผลิตเทคโนโลยีภายในสหรัฐฯ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมชิปและ AI นอกจากนี้ AI ยังมีบทบาทในการช่วยบริษัทต่างๆ เพิ่มประสิทธิภาพห่วงโซ่อุปทานเพื่อรับมือกับภาษี

สรุป: อนาคตของการค้าโลกที่ไม่แน่นอน

นโยบายภาษี “ยาแรง” ของโดนัลด์ ทรัมป์ ไม่ใช่เพียงแค่การเตือน แต่เป็นการประกาศถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในโครงสร้างการค้าโลก แม้จะสร้างความผันผวนและความไม่แน่นอนในระยะสั้น แต่ก็เป็นแรงผลักดันให้ประเทศต่างๆ และบริษัททั่วโลกต้องปรับตัว ไม่ว่าจะเป็นการเจรจาทางการค้าใหม่ การย้ายฐานการผลิต หรือการลงทุนในเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ความท้าทายเหล่านี้ยังสร้างโอกาสใหม่ๆ โดยเฉพาะในภาคเทคโนโลยีและการลงทุนในประเทศ การทำความเข้าใจและเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้จึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับทุกภาคส่วน



[post_meta]