- กำหนดเส้นตายชัดเจน: โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ประกาศว่าประเทศคู่ค้าที่ไม่มีข้อตกลงทางการค้ากับสหรัฐฯ ภายในวันที่ 1 สิงหาคม 2568 จะต้องเผชิญกับการขึ้นภาษีนำเข้าอย่างรุนแรง
- ผลกระทบรุนแรงต่อเศรษฐกิจและห่วงโซ่อุปทาน: มาตรการภาษีใหม่นี้คาดว่าจะส่งผลให้ราคาสินค้าในสหรัฐฯ สูงขึ้น เกิดภาวะเงินเฟ้อ และอาจนำไปสู่สงครามการค้ารอบใหม่ที่กระทบการค้าและการลงทุนทั่วโลก
- กระตุ้นการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี: นโยบายภาษีนี้กำลังเร่งให้เกิดการย้ายฐานการผลิตและการลงทุนในเทคโนโลยีภายในสหรัฐฯ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมชิปและ AI เพื่อลดการพึ่งพาห่วงโซ่อุปทานระหว่างประเทศ
เมื่อ “ภาษี” กลายเป็นอาวุธ: ทรัมป์ปัดฝุ่นกลยุทธ์การค้าใหม่
โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้กลับมาใช้มาตรการภาษีนำเข้าอย่างเข้มข้นอีกครั้ง โดยมีเป้าหมายหลักคือการลดการขาดดุลการค้าและกระตุ้นการผลิตภายในประเทศ ซึ่งสะท้อนผ่านการส่งจดหมายเตือนไปยังกว่า 14 ประเทศทั่วโลก รวมถึงพันธมิตรสำคัญอย่างญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ โดยมีกำหนดเส้นตายที่ชัดเจนในวันที่ 1 สิงหาคม 2568 หากไม่มีการบรรลุข้อตกลงทางการค้า มาตรการภาษีที่สูงขึ้นก็จะเริ่มมีผลบังคับใช้ทันที
ทรัมป์มองว่าภาษีเป็นเครื่องมือสำคัญในการปกป้องผลประโยชน์ของชาติและคนงานอเมริกัน โดยอ้างอิงถึงพระราชบัญญัติอำนาจทางเศรษฐกิจฉุกเฉินระหว่างประเทศ (IEEPA) ปี 1977 เพื่อรับมือกับ “ภาวะฉุกเฉินของชาติ” ที่เกิดจากการขาดดุลการค้าขนาดใหญ่และนโยบายที่ไม่เป็นธรรมของคู่ค้า เช่น การบิดเบือนค่าเงินหรือภาษีมูลค่าเพิ่มที่สูงเกินไป นโยบายนี้ไม่ใช่แค่การข่มขู่ แต่เป็นการบังคับให้ประเทศคู่ค้าต้องพิจารณานำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น และพิจารณาย้ายฐานการผลิตมายังดินแดนอเมริกัน
ภาพ: การวิเคราะห์มุมมองต่อมาตรการภาษีของทรัมป์ในมิติต่างๆ
ประเทศใดบ้างที่ตกเป็นเป้าหมาย?
ทรัมป์ได้ระบุประเทศเป้าหมายอย่างชัดเจน โดยส่งจดหมายเตือนไปยังประเทศที่มีการขาดดุลการค้าสูงกับสหรัฐฯ และ/หรือประเทศที่ถูกมองว่าใช้มาตรการการค้าที่ไม่เป็นธรรม การขู่เพิ่มภาษีมีตั้งแต่ 20% ถึง 50% ขึ้นอยู่กับแต่ละประเทศและประเภทสินค้า
- **ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้:** พันธมิตรสำคัญที่อาจเผชิญภาษี 25% หากไม่เปิดตลาดเพิ่มในภาคยานยนต์ เกษตรกรรม และการค้าดิจิทัล
- **กลุ่ม BRICS (บราซิล, รัสเซีย, อินเดีย, จีน, แอฟริกาใต้):** ทรัมป์ขู่เก็บภาษีเพิ่มเติม 10% สำหรับประเทศที่ “สอดคล้องกับนโยบายต่อต้านอเมริกา” ของกลุ่ม BRICS โดยบราซิลอาจเผชิญภาษี 50% สำหรับสินค้าบางประเภท เช่น ทองแดง
- **ประเทศอื่นๆ ในเอเชีย:** รวมถึงมาเลเซีย (25%), คาซัคสถาน (25%), เมียนมา (40%), ลาว (40%), ฟิลิปปินส์ (20-30%) และเวียดนาม (20%)
- **ประเทศในตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ:** แอลจีเรีย (20-30%) และอิรัก (20-30%) ก็ถูกเตือนเช่นกัน
- **แคนาดาและเม็กซิโก:** เดิมเผชิญภาษี 25% สำหรับสินค้าที่ไม่อยู่ภายใต้ข้อตกลง USMCA และทรัมป์ยังขู่จะยกเลิกการเจรจาทางการค้ากับแคนาดา
- **สหภาพยุโรป (EU):** แม้มีการเจรจา แต่ทรัมป์ก็พร้อมขู่ใช้ภาษีเพิ่มเติมหากไม่มีการบรรลุข้อตกลง
ผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก: จุดพลิกผันหรือเพียงระลอกคลื่น?
มาตรการภาษีของทรัมป์สร้างความกังวลอย่างยิ่งต่อเสถียรภาพเศรษฐกิจโลก เนื่องจากอาจนำไปสู่ภาวะเงินเฟ้อ การถดถอยทางการค้า และความไม่แน่นอนในการลงทุน
ความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อและราคาสินค้า
การเรียกเก็บภาษีนำเข้าจะทำให้ต้นทุนสินค้าในสหรัฐฯ สูงขึ้น ซึ่งผู้บริโภคจะต้องแบกรับภาระในที่สุด Federal Reserve คาดการณ์ว่าภาษีเหล่านี้อาจเพิ่มราคาสินค้าในสหรัฐฯ มากกว่า 10% ซึ่งจะยิ่งซ้ำเติมแรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่เผชิญอยู่
นักเศรษฐศาสตร์หลายคนมองว่านโยบายนี้อาจบ่อนทำลายกำลังซื้อของผู้บริโภคและลดกิจกรรมทางเศรษฐกิจโดยรวม แม้ทรัมป์จะยืนยันว่าภาษีจะกระตุ้นการผลิตและสร้างงานในสหรัฐฯ แต่การศึกษาของ Penn Wharton Budget Model คาดการณ์ว่าภาษีอาจลด GDP ลงประมาณ 8% และค่าจ้างลง 7% โดยครัวเรือนที่มีรายได้ปานกลางอาจเผชิญกับการสูญเสียตลอดชีวิตถึง 58,000 ดอลลาร์
สงครามการค้าและการปรับโครงสร้างห่วงโซ่อุปทาน
การตอบโต้ด้วยภาษีจากประเทศคู่ค้าอาจนำไปสู่ “สงครามการค้า” ที่ขยายวงกว้าง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก การค้าโลกที่ชะลอตัวจะส่งผลกระทบต่อการลงทุนและการผลิตข้ามประเทศ ทำให้บริษัทต่างๆ ต้องพิจารณาย้ายฐานการผลิตเพื่อหลีกเลี่ยงภาษี
ในมุมมองของนักลงทุน ตลาดหุ้นอาจเผชิญกับความผันผวนในระยะสั้น อย่างไรก็ตาม ตลาดบางแห่งเริ่ม “เพิกเฉย” ต่อคำขู่ของทรัมป์มากขึ้น เนื่องจากเคยเผชิญกับสถานการณ์คล้ายกันมาก่อน
วิดีโอ: โดนัลด์ ทรัมป์ ขู่เก็บภาษี 10% จากกลุ่มประเทศ BRICS โดยเรียกนโยบายของกลุ่มว่า ‘ต่อต้านอเมริกา’
วิดีโอนี้สะท้อนให้เห็นถึงท่าทีที่แข็งกร้าวของทรัมป์ต่อกลุ่ม BRICS ซึ่งเป็นกลุ่มเศรษฐกิจเกิดใหม่ที่กำลังมีอิทธิพลเพิ่มขึ้นในเวทีโลก การที่ทรัมป์มองว่าการรวมตัวกันของ BRICS เป็น “นโยบายต่อต้านอเมริกา” ชี้ให้เห็นถึงความพยายามของสหรัฐฯ ในการรักษาอำนาจทางเศรษฐกิจและการค้าของตน การขู่เก็บภาษีเพิ่มเติม 10% เป็นการส่งสัญญาณว่าสหรัฐฯ จะไม่ลังเลที่จะใช้มาตรการทางเศรษฐกิจเพื่อตอบโต้สิ่งที่ตนมองว่าเป็นการท้าทายระบบการค้าโลกที่สหรัฐฯ เป็นผู้นำ สิ่งนี้อาจนำไปสู่การเผชิญหน้าทางการค้าที่รุนแรงขึ้น และมีนัยยะสำคัญต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและทิศทางของเศรษฐกิจโลก
ผลกระทบต่อเทคโนโลยีและนวัตกรรม: โอกาสท่ามกลางวิกฤต
นโยบายภาษีของทรัมป์ไม่ได้ส่งผลกระทบแค่การค้าแบบดั้งเดิม แต่ยังเร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี โดยเฉพาะ AI และการค้าดิจิทัล
ความเสี่ยงในห่วงโซ่อุปทานเทคโนโลยี
การเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าอิเล็กทรอนิกส์และชิ้นส่วนจากเอเชีย โดยเฉพาะจากญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ อาจทำให้ราคาชิป สมาร์ทโฟน และอุปกรณ์คอมพิวเตอร์สูงขึ้น ซึ่งจะกระทบต่อบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ เช่น Apple และ Tesla ที่ต้องพึ่งพาห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก การปรับตัวของบริษัทเหล่านี้อาจรวมถึงการย้ายฐานการผลิตบางส่วนกลับไปยังสหรัฐฯ หรือการหาแหล่งผลิตทางเลือก

ภาพ: การแถลงข่าวของโดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ
นอกจากนี้ ภาษีที่สูงขึ้นอาจชะลอการพัฒนา AI ในบางภาคส่วน เนื่องจากต้นทุนการนำเข้าฮาร์ดแวร์และส่วนประกอบสำคัญที่ใช้ในการฝึกโมเดล AI อาจเพิ่มขึ้น
โอกาสจากการลงทุนในประเทศและการใช้ AI
ในทางกลับกัน นโยบายนี้กระตุ้นให้เกิดการลงทุนและการผลิตเทคโนโลยีภายในสหรัฐฯ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และเทคโนโลยีขั้นสูง การลงทุนในโรงงานผลิตชิปในอเมริกาอาจสร้างงานใหม่ในภาค AI และเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง
AI ยังสามารถเข้ามามีบทบาทสำคัญในการช่วยให้บริษัทต่างๆ รับมือกับความท้าทายด้านภาษีและการเปลี่ยนแปลงห่วงโซ่อุปทาน ตัวอย่างเช่น การใช้ AI ในการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการห่วงโซ่อุปทาน (supply chain optimization) การพยากรณ์ความต้องการสินค้า หรือการวิเคราะห์ข้อมูลทางการค้าเพื่อหาช่องทางลดต้นทุนภาษี คาดว่าตลาด AI สำหรับโลจิสติกส์จะเติบโต 20% ในปี 2568
ภาพ: ผลกระทบเชิงบวกของนโยบายภาษีต่อภาคเทคโนโลยีและการผลิตในสหรัฐฯ (คะแนน 0-10)
โอกาสและความเสี่ยงสำหรับนักลงทุนและธุรกิจไทย
ประเทศไทยและธุรกิจไทยก็ย่อมได้รับผลกระทบจากนโยบายภาษีของทรัมป์ ไม่ว่าจะโดยตรงหรือโดยอ้อมผ่านห่วงโซ่อุปทานโลก
ภาพรวมผลกระทบและแนวทางรับมือ
ประเด็น | ผลกระทบระยะสั้น-กลาง | โอกาส / แนวทางรับมือ |
---|---|---|
ต้นทุนสินค้านำเข้าในสหรัฐฯ | ราคาสินค้าอุปโภค-บริโภคในสหรัฐฯ มีแนวโน้มสูงขึ้น กระตุ้นเงินเฟ้อ | ผู้ส่งออกไทยอาจได้อานิสงส์หากคู่แข่งเจอภาษีสูง แต่ต้องบริหารความเสี่ยงค่าเงิน |
โซ่อุปทานอิเล็กทรอนิกส์ | สมาร์ทโฟน-คอมพิวเตอร์อาจถูกดึงกลับไปผลิตในสหรัฐฯ | โรงงาน EMS ในไทยต้องเร่งอัตโนมัติ/ใช้หุ่นยนต์ เพื่อลดต้นทุนต่อชิ้น |
ตลาดหุ้นทั่วโลก | ดัชนีตลาดเงินตลาดทุนผันผวนแรก แต่เริ่มเพิกเฉยต่อ “วาทะ” มากขึ้น | นักลงทุนเก็งกำไรสวิงเทรดได้ แต่ควรกระจายพอร์ตไปยังตลาดเกิดใหม่และทองคำ |
การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) | ภาษี “revenge tax” สร้างความไม่แน่นอนในการลงทุนข้ามประเทศ | BOI ไทยเสนอแพ็กเกจ “China + 1” จูงใจการย้ายฐานเข้าสู่ EEC |
กลยุทธ์สำหรับผู้ประกอบการและนักลงทุนไทย
ผู้ประกอบการไทยควรใช้โอกาสจาก FTA ไทย-สหรัฐฯ (GSP เฉพาะรายการ) และทบทวนรหัส HS Code ของสินค้าที่มีภาษีต่ำกว่า 10% เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขัน
สำหรับนักลงทุน การเน้นหุ้นในกลุ่ม “domestic demand play” ในสหรัฐฯ เช่น สาธารณูปโภคและเฮลธ์แคร์ อาจเป็นทางเลือกที่ดี พร้อมกับการสะสมทองคำ 5-10% ของพอร์ตเพื่อป้องกันความเสี่ยง
นอกจากนี้ Start-up และธุรกิจเทคควรจับตา “incentive ย้ายโรงงาน” ของสหรัฐฯ เพราะเป็นโอกาสในการขายโซลูชันระบบอัตโนมัติและ AI ให้กับผู้ผลิตในสหรัฐฯ
คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
สรุป: อนาคตของการค้าโลกที่ไม่แน่นอน
นโยบายภาษี “ยาแรง” ของโดนัลด์ ทรัมป์ ไม่ใช่เพียงแค่การเตือน แต่เป็นการประกาศถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในโครงสร้างการค้าโลก แม้จะสร้างความผันผวนและความไม่แน่นอนในระยะสั้น แต่ก็เป็นแรงผลักดันให้ประเทศต่างๆ และบริษัททั่วโลกต้องปรับตัว ไม่ว่าจะเป็นการเจรจาทางการค้าใหม่ การย้ายฐานการผลิต หรือการลงทุนในเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ความท้าทายเหล่านี้ยังสร้างโอกาสใหม่ๆ โดยเฉพาะในภาคเทคโนโลยีและการลงทุนในประเทศ การทำความเข้าใจและเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้จึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับทุกภาคส่วน