Shopping Cart

Total:

$0.00

Items:

0

Your cart is empty

Keep Shopping

ปลดล็อกความรวยที่แท้จริง: 7 หลักคิดสู่ความมั่งคั่งที่ไม่ใช่แค่คำปลอบใจ

50
1
0

ยาวไป อยากเลือกอ่าน?

0%
Back to Top
1


ค้นพบเคล็ดลับที่คนรวยตัวจริงใช้ พร้อมวิธีนำไปปรับใช้ในชีวิตคุณ เพื่อสร้างความสำเร็จที่ยั่งยืน

ในโลกที่เต็มไปด้วยคำแนะนำมากมายเกี่ยวกับการสร้างความมั่งคั่ง แท้จริงแล้วมีเพียงไม่กี่หลักการเท่านั้นที่ยืนหยัดอย่างมั่นคง และพิสูจน์แล้วว่าสามารถนำไปสู่ความสำเร็จที่จับต้องได้ ไม่ใช่แค่คำปลอบใจหรือความเชื่อที่เลื่อนลอย หลักการเหล่านี้คือแก่นความคิดที่ผู้ประสบความสำเร็จระดับโลกยึดถือและลงมือทำอย่างจริงจัง และคุณเองก็สามารถสร้างมันขึ้นมาได้เช่นกัน

ในบทความนี้ เราจะเจาะลึก 7 ความจริงสู่ความรวย ที่จะเปลี่ยนวิธีคิดและพาคุณไปสู่ความมั่งคั่งอย่างแท้จริง ผ่านการวิเคราะห์ที่ลึกซึ้งแต่เข้าใจง่าย พร้อมนำเสนอข้อมูลเชิงลึกที่สามารถนำไปปฏิบัติได้จริง เพื่อเสริมสร้างความเข้าใจและแรงบันดาลใจให้กับผู้อ่านทุกกลุ่ม ตั้งแต่ผู้ใช้โซเชียลมีเดียทั่วไปไปจนถึงนักลงทุนและผู้บริหารระดับสูง


ไฮไลท์สำคัญสู่ความมั่งคั่ง

  • ความเชื่อมั่นที่มาพร้อมการลงมือทำ: การคิดว่าตัวเองเก่งต้องได้รับการพิสูจน์ด้วยการกระทำที่หนักหน่วงและต่อเนื่อง ไม่ใช่แค่ความเพ้อฝัน
  • เผชิญหน้ากับความเครียด: ความสำเร็จมาพร้อมกับความกดดัน ผู้ที่มั่งคั่งจะเลือกเผชิญหน้ากับปัญหาและใช้มันเป็นโอกาสในการพัฒนาความสามารถและภูมิต้านทาน
  • การพัฒนาอย่างต่อเนื่อง: ความสำเร็จไม่ใช่จุดหมายปลายทาง แต่เป็นการเดินทางที่ไม่สิ้นสุด การเรียนรู้และพัฒนาตัวเองอย่างไม่หยุดยั้งคือหัวใจสำคัญในการรักษาสิ่งที่สร้างมาและเติบโตต่อไป

หลักคิดที่ 1: คิดว่าตัวเองเก่ง…และพิสูจน์ด้วยการกระทำที่หนักหน่วง

ความเชื่อมั่นในตนเองที่ตั้งอยู่บนความเป็นจริง

คนรวยและผู้ประสบความสำเร็จไม่ได้เพียงแค่ “คิดบวก” หรือ “สั่งจิตจักรวาล” พวกเขาเชื่อมั่นอย่างแรงกล้าว่าตัวเองมีความสามารถพิเศษและเก่งกว่าคนอื่นอย่างแท้จริง แต่ความเชื่อนั้นไม่ใช่ความเพ้อฝันที่ล่องลอย มันคือความเชื่อที่ตั้งอยู่บนความเป็นจริงและถูกพิสูจน์ซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วยการลงมือทำและฝึกฝนอย่างหนักหน่วงในระดับที่คนทั่วไปเรียกว่า “บ้า” พวกเขาทุ่มเทเวลาและพลังงานมากกว่าคนอื่นเป็นสิบเท่าเพื่อเปลี่ยนความเชื่อให้กลายเป็นความจริงที่จับต้องได้

สิ่งที่ต้องเลิก

  • ความหลงตัวเองที่คิดว่าเจ๋งแต่ไม่เคยลงมือทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน นั่นไม่เรียกว่าความมั่นใจ แต่คือ “อาการหลอน” ที่จะพาคุณไปสู่ความล้มเหลว การพูดถึงความฝันโดยปราศจากการกระทำเป็นเพียงเสียงรบกวน

สิ่งที่ต้องทำ

  • ปลูกฝังความเชื่อมั่นในศักยภาพของตัวเอง แล้วเปลี่ยนมันให้เป็นพลังในการฝึกซ้อมและทำงานให้หนักกว่าใครในสนามแข่งขันของคุณ เหมือนที่ไมเคิล จอร์แดน ไม่ได้เกิดมาเป็นนักบาสที่เก่งที่สุด แต่เขาซ้อมหนักที่สุดจนไม่มีใครเทียบได้ หรือเหมือนที่สตีฟ จ็อบส์ ไม่ได้แค่เชื่อว่าผลิตภัณฑ์ของเขาดี แต่เขาลงไปคลุกคลีกับทุกรายละเอียดเพื่อสร้างสิ่งที่ยอดเยี่ยมจริงๆ

หลักคิดที่ 2: ทนความเครียดให้สูง และพุ่งเข้าหาปัญหา

ความเครียดคือเครื่องมือสู่การเติบโต

ลืมคำพูดปลอบใจที่ว่า “อย่าเครียดนะ” หรือ “ปล่อยวางบ้าง” ไปได้เลย เพราะบนเส้นทางสู่ความมั่งคั่งนั้น ความเครียดและความกดดันคือของคู่กัน มันคือค่าผ่านทางที่คุณต้องจ่าย คนที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงไม่ได้หลีกหนีปัญหาหรือความเครียด แต่พวกเขาเลือกที่จะเผชิญหน้ากับมันตรงๆ และใช้มันเป็นเครื่องมือสร้าง “ภูมิต้านทานความเครียด” ให้กับตัวเอง พวกเขามองว่าความสามารถในการรับมือกับแรงกดดันคือทักษะที่ต้องฝึกฝนให้แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ เหมือนการยกน้ำหนัก

สิ่งที่ต้องเลิก

  • เมื่อเจอความเครียดหรืออุปสรรคแล้วถอดใจ บอกตัวเองว่า “ฉันคงไม่เหมาะกับทางนี้” หรือหาทางหนีไปทำสิ่งที่ง่ายกว่า นั่นคือการการันตีว่าคุณจะไม่มีวันเติบโต

สิ่งที่ต้องทำ

  • ฝึกฝนให้ตัวเองทนต่อความกดดันได้มากขึ้นในทุกๆ ปี จงใจพาตัวเองไปอยู่ในสถานการณ์ที่ท้าทาย เมื่อปัญหาเกิดขึ้น ให้มองว่ามันคือแบบฝึกหัดที่จะทำให้คุณแข็งแกร่งและฉลาดขึ้น ไม่ใช่กำแพงที่ขวางคุณไว้

หลักคิดที่ 3: เก่งอย่างเดียวไม่พอ ต้องมีเสน่ห์และโน้มน้าวใจคนเป็น

พลังของการสื่อสารและการสร้างสัมพันธ์

ในโลกแห่งความเป็นจริง ความเก่งหรือความฉลาดทางสติปัญญา (IQ) เป็นเพียงส่วนหนึ่งของสมการเท่านั้น ทักษะการสื่อสาร การสร้างเสน่ห์ และศิลปะการโน้มน้าวใจ คือ “ตัวคูณ” ที่จะเปลี่ยนความเก่งของคุณให้กลายเป็นโอกาสและความสำเร็จมหาศาล ความสามารถในการพูดให้น่าฟัง, การสร้างบุคลิกที่น่าดึงดูด, และการทำให้คนอื่นเชื่อมั่นและคล้อยตามในวิสัยทัศน์ของคุณ คือสิ่งที่แยกระหว่างอัจฉริยะที่โลกลืมกับผู้นำที่เปลี่ยนแปลงโลก

สิ่งที่ต้องเลิก

  • เป็นคนเก่งที่ทำงานเงียบๆ ในมุมห้อง เป็นอัจฉริยะที่ไม่มีใครรู้จัก หรือเป็นคนดีที่ไร้ตัวตนและไม่มีใครจดจำได้ ความสามารถของคุณจะไร้ค่าหากไม่สามารถสื่อสารมันออกมาได้

สิ่งที่ต้องทำ

  • ฝึกฝนทักษะการพูด การนำเสนอ การเล่าเรื่อง และการสร้างปฏิสัมพันธ์อย่างจริงจัง สร้าง “ออร่า” ที่ทำให้คนอยากเข้าหา อยากรับฟัง และอยากร่วมงานด้วย นี่คือการลงทุนที่จะให้ผลตอบแทนสูงที่สุดอย่างหนึ่งในชีวิต

หลักคิดที่ 4: โฟกัสที่ “ความเชี่ยวชาญ” (Mastery) ไม่ใช่วิ่งตาม “Passion” ที่ฉาบฉวย

การสร้างสินทรัพย์ที่ยั่งยืนผ่านความเชี่ยวชาญ

คำแนะนำยอดนิยมที่ว่า “จงทำในสิ่งที่รัก แล้วเงินทองจะตามมาเอง” อาจเป็นกับดักที่อันตรายที่สุดสำหรับคนรุ่นใหม่ เพราะ Passion หรือความหลงใหลนั้นเป็นอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงได้ง่าย มันอาจหายไปทันทีเมื่อต้องเจอกับความยากลำบากหรืองานที่น่าเบื่อ แต่ “ความเชี่ยวชาญ” (Mastery) คือสินทรัพย์ที่แข็งแกร่งและยั่งยืน มันคือสิ่งที่ติดตัวคุณไปตลอดชีวิตและสร้างมูลค่าได้อย่างแท้จริง ความพึงพอใจที่ลึกซึ้งไม่ได้มาจากการทำสิ่งที่ชอบ แต่มาจากการเป็นคนที่เก่งกาจในสิ่งที่มีคุณค่า

สิ่งที่ต้องเลิก

  • ไล่ตามความชอบที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆ กระโดดจากสิ่งหนึ่งไปอีกสิ่งหนึ่งโดยไม่เคยลงลึกกับอะไรเลย สุดท้ายคุณจะกลายเป็นคนที่รู้หลายเรื่อง แต่ไม่เชี่ยวชาญสักอย่าง

สิ่งที่ต้องทำ

  • เลือกสิ่งหนึ่งที่คุณเห็นว่ามีคุณค่าและมีศักยภาพ จากนั้นทุ่มเทฝึกฝนอย่างมีวินัยและต่อเนื่องเป็นเวลาหลายปีจนกลายเป็นหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญที่ดีที่สุดในเรื่องนั้น เมื่อคุณเชี่ยวชาญแล้ว Passion ที่แท้จริงและความมั่งคั่งจะตามมาเอง

หลักคิดที่ 5: มี Ego เพื่อขับเคลื่อน แต่ต้องถ่อมตนเพื่อเติบโต

สมดุลระหว่างความทะนงตนและความถ่อมตน

Ego หรือความทะนงตนไม่ใช่สิ่งเลวร้ายเสมอไป หากใช้อย่างถูกวิธี มันคือเชื้อเพลิงและพลังขับเคลื่อนชั้นดีที่ทำให้คุณอยากเก่งขึ้น อยากเป็นที่หนึ่ง และอยากเอาชนะอุปสรรคทั้งปวง แต่ในขณะเดียวกัน คุณต้องมีความถ่อมตน (Humility) เพื่อที่จะไม่กลายเป็นคนโง่ที่ติดอยู่ในกะลาและคิดว่าตัวเองเก่งที่สุดในโลกแล้ว การขาด Ego ทำให้คุณไร้แรงผลักดัน แต่การขาดความถ่อมตนทำให้คุณหยุดพัฒนา

วิธีสร้างสมดุลที่ทรงพลัง

  • ใช้ Ego: เพื่อตั้งเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่และผลักดันตัวเองให้ไปถึงจุดนั้นให้ได้ อย่ากลัวที่จะต้องการเป็นเลิศ
  • ใช้ความถ่อมตน: โดยการพาตัวเองไปอยู่ในแวดวงของคนที่เก่งกว่าเสมอ (จำไว้ว่า: ถ้าคุณเก่งที่สุดในห้อง แสดงว่าคุณอยู่ผิดห้องแล้ว) เปิดใจรับฟังคำวิจารณ์ เรียนรู้จากความผิดพลาด และหมั่นขอบคุณสิ่งรอบตัวที่ช่วยให้คุณมาถึงจุดนี้ได้

หลักคิดที่ 6: คิดถึง “สิ่งที่อาจผิดพลาด” เสมอ (เพื่อเตรียมพร้อมรับมือ)

การวางแผนเชิงรุกเพื่อลดความเสี่ยง

คนรวยและคนที่ประสบความสำเร็จไม่ใช่พวกมองโลกในแง่ดีแบบไร้เดียงสา ตรงกันข้าม พวกเขาคิดถึงสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด (Worst-Case Scenario) อยู่เสมอ ไม่ใช่เพื่อบั่นทอนกำลังใจหรือคิดลบ แต่เพื่อ “เตรียมพร้อม” อย่างรอบคอบ การวางแผนรับมือกับปัญหาและความล้มเหลวที่อาจเกิดขึ้นล่วงหน้า จะทำให้คุณมีสติ แก้ปัญหาได้รวดเร็ว และไม่เจ็บหนักเมื่อแผนการไม่เป็นไปตามที่คิด มันคือการสร้างตาข่ายนิรภัยให้กับความสำเร็จของคุณ

สิ่งที่ต้องเลิก

  • คิดแบบตื้นๆ ว่าทุกอย่างจะราบรื่นสวยงามตามแผนที่วางไว้ 100% และไม่มีแผนสำรองใดๆ

สิ่งที่ต้องทำ

  • ก่อนจะเริ่มโครงการสำคัญใดๆ ให้ถามตัวเองเสมอว่า “อะไรคือจุดที่เปราะบางที่สุด? ถ้ามันพังหรือไม่เป็นไปตามคาด เราจะทำอย่างไรต่อ? แผน B และ แผน C ของเราคืออะไร?” การคิดแบบนี้จะทำให้คุณมองเห็นความเสี่ยงที่คนอื่นมองไม่เห็น

หลักคิดที่ 7: ความสำเร็จนั้น “สร้างง่าย” แต่ “รักษายาก” อย่างเหลือเชื่อ

ความสำเร็จคือการเดินทางที่ต่อเนื่อง

การหาเงินล้านแรกได้นั้นเป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยมและน่าตื่นเต้น แต่มันเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการเดินทางเท่านั้น สิ่งที่ยากกว่าและท้าทายกว่าหลายเท่าคือการรักษามันไว้ และต่อยอดไปสู่ล้านที่สอง ล้านที่สาม และต่อๆ ไป ความสำเร็จไม่ได้ทำให้คุณสบายไปตลอดชีวิต แต่มันนำมาซึ่งความท้าทายใหม่ๆ และความคาดหวังที่สูงขึ้น ความสำเร็จไม่ใช่เส้นชัย แต่คือการเดินทางที่ไม่สิ้นสุดซึ่งต้องการความมีวินัยอย่างต่อเนื่อง

สิ่งที่ต้องเลิก

  • คิดว่าเมื่อสำเร็จแล้วจะสามารถผ่อนคลายและสบายไปตลอดชีวิตได้ ความคิดนี้คือจุดเริ่มต้นของความตกต่ำ

สิ่งที่ต้องทำ

  • ตื่นตัวและกระหายอยู่เสมอ อย่าให้ความสำเร็จของเมื่อวานมาทำลายความสำเร็จของวันพรุ่งนี้ จงพัฒนาตัวเองอย่างไม่หยุดยั้ง เพราะในวันที่คุณหยุดเดิน คือวันที่คู่แข่งของคุณกำลังวิ่งแซงไปข้างหน้า

บทสรุป: คุณคือกัปตันชะตาของตัวเอง

ความรู้ทั้งหมดนี้จะไร้ค่าโดยสิ้นเชิง หากคุณอ่านจบแล้วพยักหน้าเห็นด้วย แต่กลับไปใช้ชีวิตแบบเดิมๆ คุณมีสองทางเลือกที่ชัดเจนอยู่ตรงหน้า:

  1. เลือกเส้นทางของคนส่วนน้อย: ลงมือทำตามหลักการทั้ง 7 ข้อนี้อย่างจริงจังและมีวินัย แล้วเริ่มเดินเข้าสู่เส้นทางแห่งความมั่งคั่งที่สร้างได้ด้วยตัวเอง
  2. เลือกเส้นทางของคนส่วนใหญ่: ทำเหมือนว่าไม่เคยได้อ่านบทความนี้ แล้วกลับไปใช้ชีวิตที่เต็มไปด้วยข้ออ้างและความดิ้นรนต่อไป

ความสำเร็จและความมั่งคั่งไม่ใช่เรื่องของโชคชะตา แต่เป็นเรื่องของการเลือก จงเลือกเส้นทางของคุณให้ดี และเริ่มเดินเข้าหามันตั้งแต่วันนี้ เพราะไม่มีใครจะทำเพื่อคุณได้

ตารางสรุปหลักการสู่ความมั่งคั่ง:

หลักการ สิ่งที่ต้องเลิก สิ่งที่ต้องทำ
1. คิดว่าตัวเองเก่ง…และพิสูจน์ด้วยการกระทำที่หนักหน่วง ความหลงตัวเองที่คิดว่าเจ๋งแต่ไม่เคยลงมือทำ ปลูกฝังความเชื่อมั่นในศักยภาพแล้วเปลี่ยนเป็นพลังในการฝึกซ้อมและทำงาน
2. ทนความเครียดให้สูง และพุ่งเข้าหาปัญหา ถอดใจเมื่อเจอความเครียดหรืออุปสรรค ฝึกฝนให้ตัวเองทนต่อความกดดันมากขึ้นในทุกๆ ปี
3. เก่งอย่างเดียวไม่พอ ต้องมีเสน่ห์และโน้มน้าวใจคนเป็น เป็นคนเก่งที่ทำงานเงียบๆ หรืออัจฉริยะที่ไม่มีใครรู้จัก ฝึกฝนทักษะการพูด การนำเสนอ การเล่าเรื่อง การสร้างปฏิสัมพันธ์
4. โฟกัสที่ “ความเชี่ยวชาญ” (Mastery) ไม่ใช่วิ่งตาม “Passion” ที่ฉาบฉวย ไล่ตามความชอบที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ไม่เคยลงลึกกับอะไร เลือกสิ่งหนึ่งที่มีคุณค่าและมีศักยภาพ แล้วทุ่มเทฝึกฝนอย่างมีวินัยและต่อเนื่อง
5. มี Ego เพื่อขับเคลื่อน แต่ต้องถ่อมตนเพื่อเติบโต ขาด Ego ทำให้ไร้แรงผลักดัน / ขาดความถ่อมตนทำให้หยุดพัฒนา ใช้ Ego ตั้งเป้าหมายใหญ่และใช้ความถ่อมตนเพื่อเรียนรู้และเติบโต
6. คิดถึง “สิ่งที่อาจผิดพลาด” เสมอ (เพื่อเตรียมพร้อมรับมือ) คิดแบบตื้นๆ ว่าทุกอย่างจะราบรื่น 100% ไม่มีแผนสำรอง ถามตัวเองเสมอว่า “อะไรคือจุดที่เปราะบางที่สุด?” และวางแผนสำรอง
7. ความสำเร็จนั้น “สร้างง่าย” แต่ “รักษายาก” อย่างเหลือเชื่อ คิดว่าเมื่อสำเร็จแล้วจะผ่อนคลายและสบายไปตลอดชีวิต ตื่นตัวและกระหายอยู่เสมอ พัฒนาตัวเองอย่างไม่หยุดยั้ง

คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

ความเชื่อมั่นในตัวเองที่แท้จริงแตกต่างจากการหลงตัวเองอย่างไร?
ความเชื่อมั่นในตัวเองที่แท้จริงคือความเชื่อในศักยภาพของตนเองที่ได้รับการพิสูจน์จากการลงมือทำอย่างหนักและสม่ำเสมอ ในขณะที่การหลงตัวเองคือการคิดว่าตนเองเก่งโดยปราศจากการกระทำใดๆ ซึ่งนำไปสู่ความล้มเหลว
ความเครียดมีประโยชน์ต่อการสร้างความมั่งคั่งได้อย่างไร?
ความเครียดและความกดดันคือโอกาสในการพัฒนา “ภูมิต้านทานความเครียด” และทักษะในการรับมือกับปัญหา ผู้ที่ประสบความสำเร็จจะใช้ความเครียดเป็นแบบฝึกหัดในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งและความฉลาดของตนเอง
ทำไม Passion ถึงไม่เพียงพอต่อการสร้างความเชี่ยวชาญที่ยั่งยืน?
Passion เป็นอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงได้ง่ายและอาจหายไปเมื่อเจอความยากลำบากหรือความน่าเบื่อ ในขณะที่ความเชี่ยวชาญ (Mastery) เกิดจากการทุ่มเทฝึกฝนอย่างมีวินัยและต่อเนื่อง ซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่แข็งแกร่งและสร้างมูลค่าได้อย่างแท้จริง โดยเมื่อมีความเชี่ยวชาญแล้ว Passion ที่แท้จริงและความมั่งคั่งก็จะตามมาเอง
การมี Ego และความถ่อมตนจะทำงานร่วมกันได้อย่างไร?
Ego ที่ถูกต้องจะทำหน้าที่เป็นเชื้อเพลิงในการขับเคลื่อนให้เราอยากเก่งขึ้นและอยากเป็นที่หนึ่ง แต่ต้องควบคู่ไปกับความถ่อมตนเพื่อเปิดใจรับฟังคำวิจารณ์ เรียนรู้จากความผิดพลาด และพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง โดยการรักษาสมดุลนี้จะช่วยให้เติบโตได้โดยไม่ติดอยู่ในกะลา

สรุป

เส้นทางสู่ความมั่งคั่งที่แท้จริงนั้นไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบและไม่สามารถเกิดขึ้นได้ด้วยคำพูดปลอบใจ แต่ต้องอาศัยหลักการปฏิบัติที่พิสูจน์แล้วทั้ง 7 ประการนี้ การที่คนรวยและผู้ประสบความสำเร็จระดับโลกสามารถสร้างความมั่งคั่งขึ้นมาได้ ไม่ใช่เพราะโชคช่วยหรือพรสวรรค์เพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากการลงมือทำอย่างหนักหน่วงด้วยความเชื่อมั่นในตนเองที่ตั้งอยู่บนความเป็นจริง การเผชิญหน้ากับความเครียดอย่างกล้าหาญ การพัฒนาทักษะการสื่อสาร การมุ่งเน้นไปที่ความเชี่ยวชาญอย่างลึกซึ้ง การรักษาสมดุลระหว่าง Ego และความถ่อมตน การคิดเผื่อสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด และการตระหนักว่าความสำเร็จคือการเดินทางที่ไม่มีวันสิ้นสุด

สิ่งสำคัญที่สุดคือ การตระหนักว่าคุณคือกัปตันชะตาชีวิตของตัวเอง ทางเลือกอยู่ตรงหน้าคุณแล้วว่าจะเดินตามเส้นทางของคนส่วนน้อยที่ลงมือทำจริงจัง เพื่อสร้างความมั่งคั่งให้กับตนเอง หรือจะเลือกเส้นทางของคนส่วนใหญ่ที่ติดอยู่ในวังวนของข้ออ้างและความดิ้นรน ความสำเร็จและความมั่งคั่งไม่ใช่เรื่องของโชคชะตา แต่เป็นเรื่องของการเลือก จงเลือกเส้นทางของคุณให้ดี และเริ่มเดินเข้าหามันตั้งแต่วันนี้ เพราะไม่มีใครจะทำเพื่อคุณได้




[post_meta]